รู้อยู่แล้วว่าเด็ก และการพัฒนานั้นคู่กัน อาหารเสริม หรือสิ่งหลากหลาย ที่ช่วยให้เด็กนั้นเจริญเติบโต และมีร่างกายที่แข็งแรงเริ่มต้นจากพ่อแม่ เราจึงขอแนะนำอาหารเสริมธรรมชาตินั่นก็คือ แคปซูลมะพร้าว ( Coconut Oil Capsule )
คนเราจะเกิดมาฉลาดหลักแหลม หรือเป็นคนโง่ทึ่มนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดยังคงเป็น "สมอง" เพราะสมองเป็นตัวที่จะรับรู้ และสั่งการ ทำให้เรามีความคิด และการกระทำ ถ้าปราศจากการสั่งการจากสมองแล้ว เราคงจะทำอะไรไม่ได้เลย
การจะเลี้ยงลูกให้ฉลาดนั้น จำเป็นจะต้องมีพัฒนาสมองของลูกไปให้ถูกทาง สร้างเสริมความรู้ประสบการณ์ให้เหมาะสมกับวัย เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสมองเราจึงควรที่จะรู้จักการทำงานของสมองตั้งแต่เกิดจนเจริญเติบโตเต็มที่
สมองแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือ ซีกซ้าย และซีกขวา ในสมองแต่ละส่วนจะทำหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น การควบคุมการเคลื่อนไหว การพูด การรับรส ฯลฯ สมองทั้ง 2 ซีกของร่างกายจะทำงานไปพร้อม ๆ กัน จะต้องประสานงานกันเป็นอย่างดี
สมองแต่ละซีกจะมีหน้าที่เด่นกันคนละอย่าง สมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่เกี่ยวกับรูปธรรมทั้งหลาย เช่น การคิด เหตุผล การวิเคราะห์ ภาษา การเขียน การคำนวณ ฯลฯ และ การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ส่วนสมองซีกขวาจะมีหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องนามธรรม เช่น จินตนาการ มโนธรรม คุณธรรม ศิลปะ ดนตรี อารมณ์สุนทรีย์
1. พันธุกรรม
คือ การถ่ายทอดความฉลาดมาจากพ่อแม่ สมองของลูกจะมาจากการกำหนดของลักษณะทางพันธุกรรมในเซลล์ของพ่อแม่ พ่อ หรือแม่ที่มีความสามารถโดดเด่นในเรื่องใด ลูกก็จะมีความสามารถอันนั้นด้วย อาจเรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมา
2. อาหาร
เป็นปัจจัยสำคัญของการเจริญเติบโต ทั้งทางร่างกาย และสมอง โดยเฉพาะในช่วงที่สมองกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในเด็กอายุ 0-6 ขวบ การขาดสารอาหารจะทำให้เซลล์ของสมองเจริญไม่เต็มที่ ความฉับไว และประสิทธิภาพในการทำงานจะด้อยลงไป ยิ่งในเด็กเล็ก ๆ ที่ขาดสารอาหารมาก ๆ อาจทำให้สมองพิการปัญญาอ่อนไปได้
ฉะนั้นการกินอาหารที่ถูกต้องเหมาะสมกับวัยจะช่วยพัฒนาสมองให้ฉลาดขึ้นได้เริ่มตั้งแต่อาหารของทารกแรกเกิดเลย ซึ่งต้องการน้ำนมแม่เป็นอาหารอย่างน้อย 4 เดือน จึงให้อาหารเสริมเพิ่มขึ้นตามส่วน อาหารที่ให้ควรเป็นอาหารที่สะอาดปราศจากโรค และมีสารอาหารครบถ้วน อย่างอาหารเสริม “แคปซูลมะพร้าว” ( Coconut Oil Capsule ) ช่วยระบบของสมอง และกันสมองเสื่อม
การกินอาหารไม่ถูกต้อง การปล่อยปละละเลยไม่สนใจเรื่องกิน การกินอาหารไม่ได้เนื่องจากเจ็บป่วย การกินขนมมากเกินไปเลือกกินอาหารตามใจปาก หรือการกินอาหารที่ไม่มีคุณค่าเหล่านี้จะทำให้เด็กขาดสารอาหาร และสมองเติบโตได้ช้า ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กไม่ฉลาดไปได้ จึงควรสนใจเรื่องอาหารครบหมู่ให้มากไว้
3. สิ่งแวดล้อม
เป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งมีผลอย่างมากสำหรับการพัฒนาของสมอง การที่เด็กได้อย่างในสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เด็กได้รับการเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั่น คือ มีสิ่งเร้ากระตุ้นสมองให้ทำงานอยู่มากเพียงพอ เด็กทารกแรกเกิดนั้นก็มีการรับรู้ทางสมองแล้ว อย่าไปคิดว่าเด็กเล็ก ๆ ยังไม่รู้ประสีประสาอะไร สมองของเด็กสามารถรับข้อมูลได้ และต้องการข้อมูลป้อนเข้าสมองอย่างมาก การได้ยินเสียง ได้เห็นภาพ ได้เห็นการเคลื่อนไหว ได้สัมผัส ได้ดมกลิ่น ฯลฯ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็กได้เรียนรู้ สมองที่ถูกกระตุ้นให้ทำงานมาก ย่อมได้รับความรู้ และประสบการณ์มาก ทำให้เป็นคนฉลาดได้
อาหารที่ช่วยให้ฉลาดมากขึ้น
1. บลูเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดภาวะความเครียดออกซิเดชั่น ในร่างกาย จึงช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคเกี่ยวกับความชราได้ ยิ่งเราอายุมากขึ้น ร่างกายของคนเราจะต้องเผชิญกับโมเลกุลชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งเราเรียกมันว่าอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความอันตรายของพวกมันได้ ด้วยเหตุนี้ผัก และผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจึงเป็นอาหารที่สำคัญ ลองเติมบลูเบอร์รี่หนึ่งถ้วยเข้าไปในสมูทตี้ โยเกิร์ต หรือซีเรียลก็ดีไม่น้อย
2. แซลมอน อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 และมีสารป้องกันการอักเสบที่ช่วยบำรุงการไหลเวียนของโลหิตและการทำงานของสมอง ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคสมองเสื่อมและหลอดเลือดสมอง รวมทั้งบำรุงความจำลองรับประทานปลาชนิดนี้ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ จะรับประทานเป็นปลาย่าง อบ หรือต้มก็ได้
3. ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช อุดมไปด้วยวิตามินอีที่มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ทั้งยังมีไขมันไม่อิ่มตัวโมเลกุลเดี่ยวที่ดีต่อหัวใจ อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงไว้เสมอว่าถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชหลายชนิดมีไขมันชนิดอื่นสูง ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานเกิน 250 กรัม/วัน หลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วคลุกเกลือเพื่อป้องกันไม่ให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น อัลมอนด์ และวอลนัทเป็นทางเลือกที่ดีในกรณีนี้
4. ธัญพืชเต็มเมล็ด พบได้ในอาหารประเภทขนมปังโฮลวีต พาสต้า ซีเรียล จมูกข้าวสาลี และข้าวกล้อง อาหารเหล่านี้ดีต่อการหมุนเวียนโลหิตเนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ เส้นใย กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยให้เซลล์สมองทำงานได้ดี
5. ถั่วทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นถั่วดำ ถั่วปากอ้า และถั่วเลนทิล เป็นอาหารที่มีเส้นใยมาก และปล่อยพลังงานอย่างช้า ๆ ช่วยรักษาระดับกลูโคสในร่างกายให้เสถียรตลอดวัน และบำรุงร่างกายและจิตใจ
6. ช็อกโกแลต คนส่วนใหญ่ชอบรับประทานช็อกโกแลต ข่าวดีก็คือ ช็อกโกแลตไม่เพียงอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลังเท่านั้น แต่ยังมีกาเฟอีนที่ช่วยเรื่องสมาธิอีกด้วย นอกจากนี้ ดาร์กช็อกโกแลตยังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเอนดอร์ฟินที่ช่วยให้อารมณ์ของเราดีขึ้น ควรเลือกรับประทานช็อกโกแลตคุณภาพเยี่ยมที่มีสัดส่วนของโกโก้สูง ไม่ใช่ช็อกโกแลตเชิงอุตสาหกรรมที่มีปริมาณน้ำตาล และไขมันสูง ไม่ต้องรับประทานมาก เพียงแค่ 10-25 กรัม ก็ได้ประโยชน์แล้ว
7. กาแฟ กาเฟอีน และเมล็ดกาแฟ ผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ประโยชน์ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกระตุ้นการทำงานของสมองมาจากสารกาเฟอีน ดังนั้นคุณจึงต้องจำกัดปริมาณกาแฟที่รับเข้าสู่ร่างกาย แค่ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วก็เพียงพอแล้ว
8. อโวคาโด การรับประทานอโวคาโดเล็กน้อยดีต่อสุขภาพในทุก ๆ ด้าน เพราะในอโวคาโดอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและกรดอะมิโน ( โปรตีน ) ที่ช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาการอักเสบในร่างกายของคนเรา แนะนำให้รับประทานอโวคาโด 1/4 ถึงครึ่งผลทุกวัน
9. ชาเขียว และชาดำ ที่ชงเสร็จใหม่ๆ มีสรรพคุณต้านสารอนุมูลอิสระได้ดีเทียบเท่ากับกาเฟอีน นอกจากนี้ยังช่วยขยายหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปยังสมอง ทำให้ความจำ และอารมณ์ดีขึ้น เช่นเดียวกับกาแฟ เราควรดื่มชาแต่พอดีจึงจะดีต่อสุขภาพ ซึ่งก็คือ 3-4 แก้ว/วัน เท่านั้น
10. น้ำทับทิม อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ควรจำกัดปริมาณการดื่มไว้ที่ 50-75 มล./หน่วยบริโภค เพราะการดื่มมากเกินไปจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ผสมน้ำทับทิมกับน้ำเปล่าแล้วดื่มหลาย ๆ ครั้งต่อวัน หรือจะรับประทานทับทิบสดประมาณ 250 กรัมก็ได้
ด้วยความปรารถนาดีจาก แคปซูลน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ตราแมนเนเจอร์ ( Organic Coconut Oil Capsule COCO MEGA 3 By ManNature )