บอกลาวิธีกินน้ำมันมะพร้าวแบบเดิม ๆ ที่กินยาก มาเป็น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแคปซูล ( Coconut Oil Capsule ) ที่กินง่ายกว่าเดิม แถมยังเพิ่มเติมสรรพคุณดี ๆ แบบเต็ม ๆ
สำหรับใครที่กิน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ( Coconut Oil Extra Virgin ) มาก่อน จะรู้ดีกว่า เราสามารถกินแบบเพียว ๆ กระดกใส่ปาก หรือจะเทใส่ช้อน กินวันละ 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน หรือ 1 ช้อนโต๊ะต่อมื้ออาหาร แต่สำหรับมือใหม่หัดกิน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ( Coconut Oil Extra Virgin ) อาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ รู้สึกว่ากินยาก เลี่ยน จึงได้มีการออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่เป็น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแคปซูล ( Coconut Oil Capsule ) ที่ช่วยให้กินง่ายขึ้นเหมือนกินยา
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแคปซูล ( Coconut Oil Capsule ) มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมีกรดลอริกที่เปลี่ยนไปเป็นสารโมโนลอรินในร่างกาย ซึ่งโมโนลอรินเป็นสารปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคได้ดีกว่ายาปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ โปรโตชัว และไวรัส ทำให้น้ำมันมะพร้าวเป็นสารปฏิชีวนะต่อต้านกับเชื้อโรคได้ด้วย
ผู้ที่กิน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแคปซูล ( Coconut Oil Capsule ) จึงมีสุขภาพดี แข็งแรง และได้รับพลังงานทันทีที่กินน้ำมันมะพร้าวเข้าไป เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก จึงย่อยง่าย ร่างกายสามารถนำไปสร้างพลังงานได้ในทันที ไม่สะสมเป็นไขมันในร่างกาย และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนโลหิต ลดการอักเสบ และความดันของหลอดเลือด โดย น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแคปซูล ( Coconut Oil Capsule ) สามารถกินได้ครั้งละ 2 เม็ด 3 เวลาก่อนอาหาร
วิธีดูแลสุขภาพให้ดีได้ด้วยตัวเอง
1. เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
อาหารกับสุขภาพเป็นของคู่กัน การที่เราจะมีสุขภาพดีได้นั้น การกินถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการดูแลตัวเอง เป็นการดูแลจากภายในสู่ภายนอก เราจึงควรต้องกินอาหารให้พอดีและหลากหลายในแต่ละวัน เลือกกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่ โดยเน้นไปที่โปรตีน และคาร์โบไฮเดตรที่มีประโยชน์เป็นหลัก เสริมผัก ผลไม้ที่ให้เกลือแร่และวิตามิน ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมัน และอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถกินอาหารที่คุณชอบแต่อาจจะไม่ค่อยดีต่อสุขภาพนัก แถมยังรู้สึกผิดทุกครั้งที่กินเข้าไปได้ แน่นอนว่าคุณสามารถกินเค้กชิ้นเล็ก ๆ ชานมไข่มุก หรือเมนูประเภทปิ้งย่างได้เช่นกัน แต่ต้องระวังไม่ให้เผลอกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะถ้าหากคุณกินในปริมาณที่พอดีก็จะเป็นผลดีต่อร่างกายและจิตใจแถมยังช่วยเยียวยาอารมณ์ให้ดีขึ้นได้โดยไม่เสียสุขภาพด้วย
2. ออกกำลังกาย
เมื่อเลือกทานอาหารที่ดีแล้วสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือ การออกกำลังกาย ปัจจุบันการออกกำลังกายมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความชอบ ไลฟ์สไตล์ และสภาพร่างกายของแต่ละคน แต่ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายชนิดไหน ก็มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง และมีสุขภาพดีมากขึ้นทั้งนั้น
การออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างอย่างหนัก แต่การออกกำลังกายที่ดีควรทำเป็นประจำ สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที และควรออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเลือกรูปแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับ สภาพร่างกายช่วงวัยและความถนัด ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค บอดี้เวท หรือโยคะ เพราะการได้ออกกำลังกายในรูปแบบที่เราชอบ จะช่วยทำให้เราออกกำลังกายได้นานขึ้น และออกกำลังกายได้อย่างไม่มีเบื่อ แถมได้ลดน้ำหนักไปในตัวอีกด้วย
3. ดื่มน้ำให้เยอะ เพื่อสุขภาพและผิวพรรณ
การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานการมีสุขภาพดีที่สำคัญขาดไม่ได้เลยในชีวิตประจำวัน แต่กลับเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม การดื่มน้ำเปล่านอกจากจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าแล้ว ยังช่วยปรับสมดุลของร่างกาย บรรเทาความเมื่อยล้า ช่วยในเรื่องระบบเผาผลาญและการขับถ่าย แถมยังช่วยให้สุขภาพผิวของเราดีขึ้น
ปริมาณน้ำที่เหมาะสมกับร่างกายในแต่ละวัน โดยประมาณคือ 2 ลิตร ดังนั้นเราจึงควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อการดูแลสุขภาพที่สมบูรณ์ สำหรับคนที่ดื่มน้ำน้อย ลองกรอกน้ำใส่ขวดไว้แล้วตั้งเป้าหมายว่าต้องดื่มน้ำเรื่อย ๆ ให้หมดขวดภายในหนึ่งวัน แบบนี้ก็สามารถทำให้เราดื่มน้ำได้มากขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ สมองฝ่อ โรคตับ อีกทั้งยังมีผลต่อกล้ามเนื้อ และกระดูกในระยะยาวอีกด้วย
4. พักผ่อนให้เพียงพอ
ปัจจุบันเรา ใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ จนลืมไปว่าสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด และเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆ ในการดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีนั้นก็คือการนอนการนอนหลับให้เพียงพอ ซึ่งถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เพราะในช่วงเวลาที่เรานอนหลับ อวัยวะต่าง ๆ จะได้หยุดพัก หรือทำงานน้อยลง เป็นช่วงเวลาที่ระบบภูมิต้านทานจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสะสมพลังงานสำรองไว้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากเรานอนครบ 8-10 ชั่วโมงต่อคืน จะทำให้เราตื่นมาแล้วรู้สึกสดชื่น และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในวันถัดไปได้อย่างไม่รู้สึกเหนื่อยล้า เปรียบเสมือนการได้ชาร์ตแบตร่างกายให้เต็ม 100% ในทุก ๆ วัน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าเข้านอนก็คือ ช่วงเวลาระหว่าง 22.00-02.00 น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน เพื่อทำให้ร่างกายได้ฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ และทำให้คุณภาพการนอนได้รวมดีขึ้นอีกด้วย
5. วางแผนจัดการกับความเครียด ไม่ให้เสียสุขภาพจิต
ความเครียดถือเป็นศัตรูตัวร้ายที่คอยบั่นทอนสุขภาพ เป็นสภาวะอารมณ์ของคนที่ต้องเจอกับปัญหาต่าง ๆ จนเกิดความไม่สบายใจ วิตกกังวล และรู้สึกกดดัน หลายครั้งที่เรามักเรียกโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่สิ่งเหล่านี้มักจะแสดงออกมาทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ หรือพฤติกรรม บางคนเครียดแล้วทำให้หงุดหงิดง่าย บางคนเครียดแล้วป่วยบ่อย บางคนก็นอนไม่หลับ เราจึงควรต้องหาวิธีจัดการและบรรเทาความเครียดที่เกิดขึ้น เพื่อให้เรามีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีในเวลาเดียวกัน
การจัดการกับความเครียดนั้นทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการไปออกกำลังกาย การนั่งสมาธิฝึกจิตใจ ธรรมชาติบำบัด การอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ตลอดจนการจัดสรรเวลาในชีวิตไม่ให้โฟกัสกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือ จมอยู่กับความเครียดมากจนเกินไป จนอาจกระทบต่อตนเอง และคนรอบข้างได้
6. ปรับวิธีคิดเพื่อเพิ่มพลังบวก
การจมอยู่กับความวิตกกังวล หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งมากจนเกินไป อาจทำให้กลายเป็นความเครียดสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ในใจ ทำให้เกิดทัศนคติลบ จนส่งผลให้การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ เป็นไปในทิศทางที่แย่ลง ลองเอาตัวเองออกจากความกังวลเหล่านั้น และปรับมุมมองปัญหาต่าง ๆ อาจจะทำให้เรามองเห็นสาเหตุของปัญหา และวิธีแก้ไขได้ง่ายขึ้น หากเรายอมรับข้อบกพร่อง และพยายามทำความเข้าใจกับมันอย่างมีสติ ก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพใจที่แข็งแรง และมีความสุขกับสิ่งรอบตัวได้ง่ายขึ้น หรือถ้าเรามองเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ลองมองข้ามข้าม หรือปล่อยผ่านไปบ้างก็ได้
7. อย่าลืมไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ
บางคนอาจมองว่าตัวเองอายุยังน้อยจึงไม่เห็นความจำเป็นในการตรวจสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตรวจสุขภาพเป็นประจำก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง และมีสุขภาพดีในทุก ๆ วัน เพราะการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เรารู้ ว่าเรามีปัจจัยเสี่ยงอะไร และควรจะต้องดูแลสุขภาพไปในทิศทางไหนบ้างเพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้
ประโยชน์จากการกิน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแคปซูล ( Coconut Oil Capsule )
1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล บำรุงสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เร่งอัตราการเผาผลาญ และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักอย่างมากทีเดียว
2. ช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะสามารถช่วยชะลอความหิว ทำให้อิ่มนาน จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก และยังช่วยบำรุงกำลังในผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลีย
3. ช่วยทำลายเชื้อโรค เนื่องจากมีสารโมโนโลรินซึ่งนับเป็นสารปฏิชีวนะที่มีคุณสมบัติในการทำลายเชื้อโรคได้อย่างหลากหลายชนิด
4. ย่อยง่าย ไม่เกิดการสะสมในร่างกาย ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็ว ช่วยระบายท้อง ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร และผู้สูงอายุที่มีการดูดซึมอาหารไม่เต็มประสิทธิภาพ และสามารถลดไขมันส่วนเกินได้
5. อุดมไปด้วยวิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ แถมยังช่วยในการดูดซึมวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อความต้องการร่างกาย
นี่คือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแคปซูล ( Coconut Oil Capsule ) ที่กินง่ายกว่าเดิม แต่ได้สารอาหารที่มีอยู่ในน้ำมันมะพร้าวอย่างครบถ้วน และได้กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย
ด้วยความปรารถนาดีจาก แคปซูลน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ตราแมนเนเจอร์ ( Organic Coconut Oil Capsule COCO MEGA 3 By ManNature )
อ่านบทความเพิ่มเติม